หนุ่มเยอรมัน ตกเขาวัดถ้ำเสือ คาดวูบขณะเดินลง ร่วง 30 ขั้น

หนุ่มเยอรมัน ตกเขาวัดถ้ำเสือ คาดวูบขณะเดินลง ร่วง 30 ขั้น

เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าช่วยเหลือ หนุ่มเยอรมัน ตกเขาวัดถ้ำเสือ คาดวูบขณะเดินลงจากชุดวิวบนยอด ร่วง 30 ขั้น เจ้าหน้าที่หามลงอย่างทุลักทุเล ร.ต.ต.นิรันดร์ เขมากรณ์ รอง สว.ตำรวจท่องเที่ยว จ.กระบี่ ได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือหลังนักท่องเที่ยวตกจากบันไดบนยอดเขาวัดถ้ำเสือวิปัสสนา หมู่ 1 ต.กระบี่น้อย อ.เมืองกระบี่ ได้รับบาดเจ็บ เมื่อช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 10 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา จึงประสานเจ้าหน้าที่กู้ภัยลงพื้นที่ตรวจสอบ โดยทราบว่าผู้ได้รับบาดเจ็บยังอยู่บนยอดเขาที่เป็นจุดชมวิว ซึ่งต้องขึ้นบันไดไป 1,143 ขั้น

เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาเดินขึ้นสะพานนานเกือบชั่วโมง 

จึงไปถึงจุดเกิดเหตุพบ นายอีเดน รอเรล ชาวเยอรมันวัย 19 ปี อยู่ในสภาพอิดโรย ที่ศีรษะมีเลือดไหล ไม่สามารถขยับลำคอได้ โชคดีมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่ม ทราบว่าเป็นพยาบาลช่วยห้ามเลือดและปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้แล้ว กู้ภัยจึงช่วยปฐมพยาบาล ก่อนนำคนเจ็บขึ้นเปลสนาม นำคนเจ็บขึ้นมัดร่างไว้แน่นหนา แล้วหามกันลงมาอย่างทุลักทุเล

เจ้าหน้าที่กู้ภัยและชาวบ้านตัองช่วยกันสลับหามผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมงจึงถึงด้านล่าง ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาลกระบี่ได้ในที่สุด

สอบถามเบื้องต้นทราบว่า หลังทั้งหมดขึ้นไปเที่ยวจุดชมวิวบนยอดเขา ซึ่งต้องขึ้นบันไดรวมทั้งหมด 1,260 ขั้น ขณะกำลังกลับลงมา ผู้ได้รับบาดเจ็บน่าจะวูบลงจากบันได และตกบันไดไปไกล 30 ชั้น ก่อนจะหยุดที่จุดพักเนื่องจากมีรั้วเหล็กกั้นไว้ เคราะห์ดีที่มีรั้วกั้น มิเช่นนั้นจะตกลงเหวลึกและอาจได้รับบาดเจ็บหนักกว่านี้ เบื้องต้นอาการคนเจ็บรู้สึกตัวดี น่าจะไม่เป็นอันตรายมากแล้ว แต่อาจต้องเอกซเรย์กระดูกส่วนลำคออีกครั้ง

นายสหภพ กริ่นสูงเนิน หัวหน้าชุดเฉพาะกิจทีมดำน้ำ กู้ภัยฮุก 31 เล่าว่า เบื้องต้นได้รับประสานงานให้มาช่วยค้นหาร่างหญิงสาวอุ้มลูกกระโดดน้ำ ซึ่งตามข้อมูลแจ้งว่าเป็นหญิงสาว อายุประมาณ 25-30 ปี อุ้มลูกน้อยอายุประมาณ 1 ขวบ กระโดดจากราวสะพาน แต่ผู้แจ้งเหตุเป็นหญิงสาว แจ้งทางโทรศัพท์กับตำรวจ สภ.โชคชัย หลังจากนั้นพยายามจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม แต่ปรากฏว่าเบอร์มือถือผู้แจ้งถูกปิด ไม่สามารถติดต่อได้ จึงไม่มั่นใจว่าเป็นเหตุจริงหรือไม่ แต่ชุดประดาน้ำก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ตามที่ได้รับการร้องขอมา

ขณะที่เฟซบุ๊ก ฉัตรชัย ศรีวิศร รายงานสถานการณ์ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 8.00 น. ว่าล่าสุดยังไม่พบ และคนที่แจ้งก็ยังไม่มารายงานที่จุดเกิดเหตุ

โฆษก กอ.ร่วมฯ กล่าวอีกว่า การกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นความผิดตามกฎหมาย โดยฝ่าฝืนเงื่อนไข คำสั่งเจ้าพนักงานฯ มีการพ่นสเปรย์ขีดเขียน ใช้ก้อนหินและไม้ทำร้ายทุบตี ขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ รวมทั้งการทำลายทรัพย์สินของทางราชการและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่อให้เห็นถึงเจตนาให้เกิดความรุนแรง เกิดความไม่สงบ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาความปลอดภัยตามกฎหมาย ตามอำนาจหน้าที่ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง เน้นการเจรจา พูดคุยทำความเข้าใจทุกฝ่าย หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้กำลัง ได้ใช้กำลังให้น้อยที่สุด เหมาะสมกับสถานการณ์

ภาพอดีตรองนายก ถ่ายคู่ครอบครัวฝ่ายหญิง คบหาแบบเปิดเผยหรือไม่?

เผย ภาพอดีตรองนายก ถ่ายคู่ครอบครัวฝ่ายหญิง คบหาแบบเปิดเผยหรือไม่ ด้านทนายตั้มยืนยันครอบครัวฝ่ายหญิงรู้จักอดีตรองนายกจริง จากกรณีที่ทนายตั้ม หรือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้ออกมาเปิดเผยคำร้องเรียนของสามีคนหนึ่งที่พบรูปภรรยากับอดีตรองนายกรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย โดยทนายตั้มให้คำใบ้ว่า อดีตรองนายก ย. เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ชอบกีฬากอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์ ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เพราะออกจากพรรคตั้งแต่ปี 2561 ดังที่มีรายงานไปก่อนหน้านี้นั้น

ล่าสุดมีภาพอีกชุดได้รับการเปิดเผยออกมาเป็น อดีตรองนายกรัฐมนตรีสวมชุดสีชมพู กับ หญิง โดยในรูปมี ผู้ชายสูงวัย เสื้อลาย และ ผู้หญิงสูงวัยเสื้อสีแดง ระบุว่าเป็นผู้ชายเสื้อลายและผู้หญิงเสื้อสีแดง ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าทั้งคู่คบหากันโดยฝ่ายหญิงรับรู้มาตลอดหรือไม่ บางกระแสข่าวบอกว่าทั้งอดีตรองนายกฯและฝ่ายหญิงเข้าพิธีผูกข้อไม้ข้อมือกันแล้วด้วย

ในประเด็นนี้ ทนายตั้ม ให้ข้อมูลว่า ครอบครัวฝ่ายหญิงรู้จักกับอดีตรองนายกรัฐมนตรีจริง มีการไปหากันถึงที่บ้านฝ่ายหญิง และข้อมูลนี้ จะเป็นหนึ่งในหลักฐานการฟ้องหย่า-ฟ้องเรียกค่าเสียหาย จาก อดีตรองนายกฯด้วย แต่ทนายตั้ม ขอไม่เปิดเผย จำนวนเงิน บอกแค่ว่า เรียกค่าเสียหายไปค่อนข้างเยอะ เพราะ ฝ่ายชายเคยมีตำแหน่งเป็นถึงรองนายก ส่วนเรื่องพิธีผูกข้อมือ อันนี้ไม่มีหลักฐานชัดเจน

ยืนยันว่าลูกความกินกับภรรยาตามปกติ ไม่ได้แยกกันอยู่ ทุกวัน ภรรยาจะไปทำงานที่โรงแรมและกลับบ้าน แต่การทำงานจะไม่ค่อยเป็นเวลา สลับทำงานกะเช้ากับกะค่ำ แต่ช่วงที่ผิดปกติ คือ ช่วงที่แอบคบหากับอดีตรองนายกฯ คือ มีท่าทีเปลี่ยนไป จนลูกความของนายษิทรา เช็กโทรศัพท์และพบหลักฐาน

ส่วนเรื่องภาพหลุดอดีตรองนายกรัฐมนตรี มีบางภาพที่ผู้หญิงเป็นคนถ่ายเอง ทำให้มีข้อสงสัยว่าเรื่องนี้อาจเป็นการแบล็คเมล์กันหรือไม่ ฝ่ายหญิงถือโทรศัพท์ถ่ายภาพชัดเจน ไม่ใช่การแอบถ่ายตอนเผลอ และไม่ได้มีการส่งภาพเรียกรับเงินใดๆ ตัวอดีตรองนายกฯก็ถ่ายภาพโป๊เปลือยของตัวเองส่งให้ฝ่ายหญิงดูเช่นเดียวกัน ส่วนตัวจึงมองว่า เป็นเรื่องรสนิยมมากกว่า ไม่ใช่การแบล็กเมล์แน่นอน

Credit : ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ